คืนแห่งฝันร้าย (ที่หายไป)…..ศรัยฉัตร กุญชร ณ อยุธยา จีระแพทย์
ฉบับนี้จะเล่าเรื่องราวของเบลล่า… ที่ไม่ยอมหลับยอมนอนในช่วงแรกที่กลับมาบ้าน..ทำเอาหนิงและพี่โบ๊ต (สามี) รวมทั้งคุณพ่อและคุณแม่พี่โบ๊ตเครียดไปตามๆ กัน
ขอท้าวความไปถึงช่วงที่หนิงท้องใหม่ๆ ก่อนนะคะ จำได้ว่าทั้งหนิงและพี่โบ๊ตเห่อมาก รีบไปหาซื้อหนังสือ และนิตยสารเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ เกี่ยวกับเด็กเล็กมาอ่านเต็มไปหมด จากแต่ก่อนเคยอ่านนิตยสารแฟชั่น หนิงก็แทบไม่แตะเลย เพราะสนุกสนานกับการอ่านเรื่องราวการดูแลตัวเอง ดูแลลูกน้อยในท้องและหลังคลอด
ประมาณก่อนคลอดหนึ่งเดือน เพื่อนสนิทๆ ของหนิงรวมตัวกันจัดปาร์ตี้ เบบี้ ชาวเวอร๋ให้หนิง ซึ่งเป็นธรรมเนียมฝรั่งที่เพื่อนจะจัดให้เพื่อนที่ท้องก่อนคลอด เพื่อมอบของขวัญเด็กอ่อนให้คะ ในงานนั้น ยิม เพื่อก๊วนจุฬาฯ ที่เรียนมาด้วยกัน (และเป็นเพื่อนคนแรกของกลุ่มที่มีทั้งหมด 13 คน ที่มีลูกแซงหน้าใครๆ ไปแล้วหนึ่งคน หนิงเป็นคนที่สองคะ) บอกหนิงว่า
“หนิง…ยิมขอเตือนอะไรหน่อย อยากเตือนเพราะตอนยิมท้อง ไม่มีใครเตือนยิม ยิมเลยประสาทเสียไปเลย” เล่นเอาหนิงงงจนต้องถามว่าอะไรกัน “ตอนพาลูกกลับบ้านคืนแรกๆ ลูกยิมร้องไห้ทั้งคืน เลวร้ายมาก เพราะยิมกับสามีอยู่กันสองคน ไม่มีใครช่วย ลูกยิมไม่อึ เลยปวดท้อง ฉะนั้นหนิงควรทำใจไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เผื่อลูกไม่สบาย หรือไม่นอนนะ” แน่นอนว่าหนิงฟัง แต่ฟังแบบเข้าหูซ้าย ทะลุหูขวา ก็เพราะไม่คิดว่าลูกตัวเองจะเป็นอะไร แถมตอนคลอดที่โรงพยาบาล ทุกอย่างช่างดูสวยงามไร้ปัญหา ได้ยินลูกร้องอยู่ครั้งสองครั้งเองมังคะ ถึงเวลาหิวพยาบาลก็เข็นมา พออิ่มหลับ พยาบาลก็เข็นไป ไม่ได้เห็นภาพของลูกว่าเป็นยังไงเมื่อไปอยู่กับพยาบาล กลับบ้าน เลี้ยงง่ายแน่ๆ ไม่เห็นจะยากตรงไหน แอบคิดในใจกับสามีว่า ส.บ.ม. สบายมาก
ที่ไหนได้ คืนแรกที่กลับบ้าน เบลล่าทำเอาหนิงกับพี่โบ๊ตถึงกับเข็ดการมีลูกคะ จริงๆ นะคะ มันเลวร้ายขนาดนั้นจริงๆ กลางวันก็หลับดี พอสองสามทุ่ม ดูดนมเสร็จ ไหงไม่ยอมนอน กลับเอาแต่ร้องไห้จ้าคืนแรกๆ ยังพอทน ผ่านไปสองคืนสามคืน อาการหนักกว่าเดิม ก็ดูทุกอย่างแล้ว ไม่ว่าผ้าอ้อม หิวหรือเปล่า จับเรอทุกครั้งหลังดูดนม หนาวไปหรือร้อนไปก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดจำได้เลยว่ามีคืนหนึ่ง หนิงให้นมลูกตั้งแต่สองทุ่ม จับเรอ กล่อมนอน ลูกร้อง ผล็อยหลับ พอวางนอนบนเตียง ร้องอีกชั่วโมงกว่า ถึงเวลากินนม กินนมเสร็จ จับเรอ ร้องต่ออีก วนไปวนมาอย่างนี้ ที่หนิงไม่ได้นอนจนถึงตีสี่ เหนื่อยจนต้องร้องไห้อยู่ข้างๆลูก เป็นอย่างนี้อยู่หลายคืน บางคืนให้นมลูกไปหนิงก็ร้องให้ไป เพราะอาการที่ตามมาคือเบบี้ บลู ซึมเศร้า ไม่เข้าใจว่าลูกเป็นอะไร ทำไมการมีลูกถึงโหดร้ายขนาดนี้ กินข้าวก็ร้องไห้ อาบน้ำก็ร้องไห้ อุ้มลูกไปร้องไห้ไป คุณพ่อสามีต้องเข้ามากอดปลอบใจ สามีเครียดหนักเข้าไปอีก ประกอบกับโทรไปหา พี่นต กนกรส พงศทัต ที่คลอดลูกก่อนหนิงเดือนหนึ่ง แล้วเจอเหตุการณ์เดียวกับหนิง ก็ร้องไห้กันทางโทรศัพท์ จำได้ไม่ลืม พี่นตบอกหนิงว่า “พี่กับสามีไม่คิดมีลูกอีกแล้ว” “พี่นต…เหมือนหนิงเลย” ตั้งแต่นั้นมาเราต่างเป็นกำลังใจให้กันและกัน โดยพี่นตจะคอยส่งข้อความบอกหนิงว่า ลูกเขาดีขึ้นบ้างแล้ว..หนิงก็นับวันรอคิวลูกหนิงบ้าง วันๆ ดูแต่ปฏิทินว่าเมื่อไหร่จะครบเดือน แต่วันคืนผ่านไปช้าเหลือเกิ
กลับมาที่อาการซึมเศร้าของหนิงอีกทีว่ามันรุนแรงขนาดไหนนะคะ ลืมบอกไปว่าตอนที่หนิงอยู่โรงพยาบาล คลอดลูกไปแล้วหนึ่งวัน คุณป้าโทรมาแสดงความยินดีจากอเมริกา แล้วก็เตือนว่า หนิงจะต้องมีอาการเบบี้ บลูซึมเศร้า ก็อย่าไปคิดมาก หนิงนึกขำ ไม่คิดว่าตัวเองจะเป็น แต่แล้วผิดคาด หนิงเป็นหนักมากถึงขนาดว่าคุยเรื่องลูกกับใครไม่ได้เลย จะร้องไห้ตลอดเวลา แต่อย่าตีความผิดว่าหนิงไม่รักลูกนะคะ หนิงรักมาก เพียงแต่ไม่คิดว่าการมีลูกจะเป็นปัญหาได้ขนาดนี้ อีกอย่างก็คือหนิงไม่มีพี่เลี้ยง จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มี (ซึ่งดีมากๆ ทำให้เราได้ใกล้ชิดกันคะ) หนิงคิดแต่ว่าหมดกันแล้วชาตินี้ คงไม่มีชีวิตที่เหมือนเดิมอีกต่อไป ตัดสินใจโทรหายิม คุยไปร้องไห้ไป ยิมก็น่ารักมาก บอกว่าใจเย็นๆ แล้วเดี๋ยวก็จะลืมคืนร้ายเหล่านี้ ช่วงเดือนแรกหลังคลอดหนิงเหนื่อยมาก ถึงขนาดน้ำหนักลด 15 กิโลภายในหนึ่งเดือน (ขึ้นมาทั้งหมด 22 กิโล) ไม่มีความอยากอาหาร ซึมกระทือ ซับน้ำตาตลอดเวลา บอกใครต่อใครว่าอย่ามีลูกเลยถ้าไม่มีความอดทนพอ หลายคนบอกหนิงว่าเดี๋ยวก็ลืม อีกไม่นานก็จะมีความสุขมาก หนิงส่ายหัว โนเวย์ ฉันจะไม่มีลูกอีกแล้ว
ช่วงนั้นโทรหาเพื่อนๆ ที่เป็นแม่อยู่หลายคน พยายามหาใครที่มีเคสเหมือนหนิง แต่แทบไม่มีเลย แต่ก็ได้กำลังใจมาเยอะ ไม่ว่าจะเป็นคุณเกด นารากร คุณบุ๋ม ปนัดดา หรือ คุณเตย วิญญรัตน์ ลูกหนิงร้องไห้อยู่เกือบเดือนก็ดีขึ้น โชคดีที่หนิงไปปรึกษาคลินิกนมแม่ รพ.ศิริราช ซึ่งสอนให้หนิงให้นมลูกท่านอน เพราะหนิงให้ดูดท่านั่งมาตลอดเนื่องจากถนัดกว่า พอลูกดูดท่านอนลูกก็ได้หลับคานมไปเลย แม่ก็พอได้นอนบ้าง หนึ่งเดือนครึ่งผ่านไป อะไรๆ ก็ดีขึ้นอย่างที่ใครๆ ก็บอก ลูกนอนนานขึ้น ไม่ร้องไห้ตอนกลางคืนแล้ว แต่จะร้องไห้งอแงตอนง่วง สุขภาพจิตของหนิงและสามีก็ดีขึ้น ความสุขสดชื่น ชีวิตชีวาค่อยๆ กลับมา ไม่น่าเชื่อว่ามันช่างแตกต่างจากช่วงแรกจริงๆ ทีนี้หนิงฟังออกแล้วว่าเสียงร้องแต่ละแบบต่างกันอย่างไร ลูกต้องการอะไร แถมยังนอนได้ดี
เพื่อนหนิงบอกว่าเป็นเพราะทั้งหนิงและลูกค่อยๆเรียนรู้กันและกัน จริงๆ แล้วลูกก็ร้องเหมือนเดิม เพียงแต่หนิงเข้าใจลูกมากขึ้น พอมานึกๆ ดู ก็จริงแฮะ ช่วงนั้น หนิงเอาแต่ให้ลูกดูดนมท่านั่ง ทั้งๆ ที่ท่านอนจะทำให้ลูกได้หลับไปเลยหลังจากที่อิ่ม หรือตอนที่เอาลูกนอนบนเตียงของเขาแป๊บเดียวก็ร้อง เพราะแท้ที่จริง เขายังเด็กเหลือเกิน ไม่อยากนอนคนเดียว แต่อยากจะเอาตัวซุกแม่เพื่อความอบอุ่น ตอนนี้หนิงก็ยังให้ลูกนอนกับหนิงบนเตียง แม้ใครจะบอกว่า ระวังลูกจะติด แล้วจะไม่ยอมนอนเตียงตัวเอง หนิงก็ไม่แคร์ ค่อยฝึกทีหลัง ก็ลูกอยากอยู่กับเรา ทำไมต้องไปแยกให้เขาอยู่อีกเตียงหรืออีกห้อง ทุกวันนี้หนิงก็ยังให้ลูกดูดนมกลางดึก เพราะอยากให้นมเองให้นานที่สุด ถ้าถามว่าความรู้สึกของหนิงตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง มีความสุขที่สุด ลูกน่ารักเหลือเกิน ยิ่งเวลาที่เขายิ้มให้ หรือพยายามส่งเสียงพูดคุย ความเหนื่อยที่มีมันหายเป็นปลิดทิ้ง ไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะมีความสุขได้มากขนาดนี้ นี่ขนาดเบลล่ายังแค่ 4-5 เดือน เรายังรู้สึกสุขเหลือเกิน ซักขวบสองขวบ จะสุขมากกว่าขนาดไหน
ล่าสุดหนิงเพิ่งส่งข้อความไปหาเพื่อนรักที่กำลังจะแต่งงานว่า Having a Baby is a Miracle และหนิงก็รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ หากย้อนเวลาได้ อยากกลับไปช่วงที่ลูกกลับบ้านมาใหม่ๆ จะขอแก้ตัวซักครั้ง มั่นใจว่า หนิงจะสามารถรับมือกับลูกได้แน่นอน