1.ทำไม ร่างพ.ร.บ.ควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กครอบคลุมผลิตภัณฑ์ถึงอายุ 3 ปี
- WHO แนะนำให้เด็กทุกคนกินนมแม่อย่างเดียว 6 เดือน และให้นมแม่ต่อเนื่องควบคู่กับอาหารตามวัยถึง 2 ปี หรือนานกว่านั้น
ตามหลักการขององค์การอนามัยโลกที่แนะนำให้เด็กได้กินนมแม่อย่างเดียวถึงอายุ 6 เดือนและกินนมแม่ต่อเนื่องควบคู่กับอาหารตามวัยจนถึงอายุ 2 ปีหรือนานกว่านั้น เนื่องมาจากผลการศึกษาวิจัยจำนวนมากทั่วโลกที่พบว่าการให้เด็กกินนมแม่ต่อเนื่องยิ่งนานยิ่งมีประโยชน์ต่อตัวแม่และเด็กทั้งในด้านสุขภาพ ความสำเร็จทางการศึกษา เศรษฐกิจและสังคม (ผลการวิจัยตีพิมพ์ใน Lancet series)
ตามความเป็นจริงคือ เด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไปจำเป็นต้องได้กินนมและได้รับอาหารตามวัยที่เหมาะสมซึ่งอาหารตามวัยหมายถึงอาหารมื้อหลักเช่นข้าวบดตับบดไข่บดเป็นต้นนมผสมไม่ได้เป็นอาหารตามวัยแต่นมผสมคือนมที่นำมาใช้ทดแทนนมแม่หากแม่ยังสามารถให้นมลูกต่อเนื่องได้ แม่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้นมผสมจนถึงอายุอย่างน้อย 2 ปีขึ้นไป ดังนั้น การให้ความเห็นว่านมแม่เป็นอาหารที่ดีที่สุดของทารกตั้งแต่แรกเกิดถึงหนึ่งปีเท่านั้น จึงเป็นการบิดเบือนคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกให้เกิดความสับสนว่าเด็กควรกินนมแม่ถึงแค่อายุ 1 ปี
- หลักเกณฑ์สากลว่าด้วยการตลาดอาหารทดแทนนมแม่ ครอบคลุมผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กอายุถึง 3 ปี
สมัชชาอนามัยโลก (World Health Assembly) และประเทศสมาชิก ได้มีมติรับรองหลักเกณฑ์สากลว่าด้วยการตลาดอาหารทดแทนนมแม่ (International Code of Marketing of Breast Milk Substitutes หรือ Code) ตั้งแต่พ.ศ.2524 และมีมติเพิ่มเติมในปีต่อๆ มาเป็นลำดับ
ที่ผ่านมา บริษัทผู้ผลิตมักโต้แย้งว่า อาหารทดแทนนมแม่ (Breastmilk Substitutes – BMS) หมายถึง นมที่ใช้สำหรับเด็กแรกเกิดถึง 6 เดือนเท่านั้น และใช้โอกาสนี้ในการทำการส่งเสริมการตลาดของผลิตภัณฑ์นมของเด็กอายุ1 ปีขึ้นไป แต่ล่าสุด ในที่ประชุมสมัชชาอนามัยโลกครั้งที่ 69 (WHA 69th, 2016) องค์การอนามัยโลกได้จัดทำ Guidance on ending inappropriate promotion of food for infants and young children (เอกสารแนบ 1) เพื่อเป็นแนวทางให้ประเทศสมาชิกมีความเข้าใจตรงกันในเรื่องของ การส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กที่ไม่เหมาะสม ซึ่งใน guidance ดังกล่าว ในข้อแนะนำที่ 2 อธิบายไว้ชัดเจนว่า BMS ให้หมายถึงอาหารหรือนมใดๆที่ทำการส่งเสริมการตลาดสำหรับเด็กตั้งแต่แรกเกิดถึง 3 ปี และเมื่อประเทศต่างๆออกกฎหมายเพื่อบังคับใช้หลักเกณฑ์สากลว่าด้วยการตลาดอาหารทดแทนนมแม่ ก็ให้หมายความครอบคลุมผลิตภัณฑ์ถึง 3 ปี
ดังนั้น การตีความหลักเกณฑ์ของ WHO ว่าใช้ควบคุมการตลาดเฉพาะกับอาหารและผลิตภัณฑ์ของทารก 1 ปีเท่านั้น จึงเป็นการตีความที่ไม่ถูกต้องตามความเข้าใจสากลที่ได้รับการยอมรับจากประเทศต่างๆ และจากองค์การระหว่างประเทศ
- ทารกและเด็กเล็กเป็นกลุ่มเปราะบางต้องได้รับการปกป้องคุ้มครองสิทธิ
สินค้าทุกชนิดจำเป็นต้องมีมาตรฐานควบคุมการโฆษณาและส่งเสริมการตลาดเพื่อป้องกันการโฆษณาชวนเชื่อและหลอกลวงประชาชนถึงคุณสมบัติสรรพคุณที่เกินจริงทารกและเด็กเล็กซึ่งเป็นประชากรกลุ่มวัยที่สำคัญที่สุดเพราะเป็นช่วงที่สร้างพื้นฐานของชีวิตในระยะยาวทั้งร่างกายและสมองแต่กลับเป็นกลุ่มที่เปราะบางช่วยเหลือและตัดสินใจเลือกอาหารเองไม่ได้ นมผสมซึ่งเป็นสินค้าที่ถูกนำมาใช้เป็นอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กโดยพ่อแม่และครอบครัว โดยเฉพาะครอบครัวที่ลูกไม่ได้กินนมแม่ จำเป็นต้องถูกควบคุมเรื่องการโฆษณาและส่งเสริมการตลาดอย่างรัดกุมเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการอวดอ้างสรรพคุณทางโภชนาการและสุขภาพเพื่อจูงใจให้พ่อแม่และครอบครัวเกิดการใช้โดยไม่จำเป็นหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ดังนั้นการควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารก (แรกเกิด- 12 เดือน)เท่านั้น อาจไม่เพียงพอในการปกป้องเด็กเล็กซึ่งเป็นประชากรในวัยเปราะบางเช่นกัน
- การส่งเสริมการตลาดแบบข้ามชนิด
การอนุญาตให้ทำการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับเด็กเล็ก จะส่งผลให้เกิดการส่งเสริมการตลาดแบบข้ามชนิด (cross promotion) หมายถึง เมื่อมารดาและครอบครัวได้เห็นการโฆษณาและส่งเสริมการใช้อาหารสำหรับเด็กเล็กจะทำให้เกิดการเชื่อมโยงไปสู่อาหารสำหรับทารก เนื่องจาก ชื่อ ตราและสัญลักษณ์ของผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กทั้งสองกลุ่มมีลักษณะคล้ายคลึงกัน ดังนั้นการควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกเท่านั้นเป็นวิธีการที่ขาดประสิทธิภาพและเปิดช่องโหว่ให้มีการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กได้
- ร่างพ.ร.บ.ควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ครอบคลุมถึงผลิตภัณฑ์อะไรบ้าง
ร่างพ.ร.บ.ฯ ฉบับนี้ ครอบคลุมผลิตภัณฑ์เหล่านี้
- นมดัดแปลงสำหรับทารก
- นมดัดแปลงสูตรต่อเนื่องสำหรับทารกและเด็กเล็ก
- อาหารสำหรับทารก
- อาหารสูตรต่อเนื่องสำหรับทารกและเด็กเล็ก
- อาหารเสริมสำหรับทารกและเด็กเล็ก
- อาหารที่มีจุดมุ่งหมายในการเลี้ยงทารกและเด็กเล็กอื่นที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
- ทำไมห้ามโฆษณาทุกช่องทาง
การโฆษณาเป็นการส่งเสริมการตลาดที่พบเห็นได้มากที่สุด และมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของแม่ในการเลี้ยงลูกนมผสมเช่นเดียวกัน (นงนุช, 2558) ใน พ.ร.บ.ฉบับนี้ขอบเขตของการโฆษณา คือ การใช้สื่อสาธารณะที่ประชาชนทั่วไปทั้งที่ต้องการหรือไม่ต้องการได้เห็น หรือทราบข้อความได้เห็น ได้รับทราบ โดยมุ่งประโยชน์ทางการค้า
สื่อสาธารณะ ประกอบด้วยโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์หรือสิ่งพิมพ์อื่นใด สื่ออิเลกทรอนิกส์ หรือสื่อสาธารณะอื่นที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดโดยคำแนะนำของคณะกรรมการ ทั้งนี้ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม
ไม่รวมกรณีที่หญิงตั้งครรภ์ หรือแม่ที่มีลูกอายุต่ำกว่า3 ปี ได้โทรติดต่อไปหาบริษัทด้วยตนเอง หรือค้นหาความรู้การให้นมจากหน้าเว็ปของบริษัท รับทราบผลิตภัณฑ์ซึ่งโฆษณาได้ตามฉลากและไม่รวมกรณีที่แม่คนหนึ่งได้แนะนำให้แม่อีกคนหนึ่งใช้ผลิตภัณฑ์โดยไม่มีประโยชน์ทางการค้า
- พ.ร.บ. ปิดกั้นการให้ข้อมูลประชาชนจริงหรือไม่
หลักเกณฑ์สากลฯ และร่างพ.ร.บ.ฯ ไม่ได้ห้ามบริษัทให้ข้อมูลผลิตภัณฑ์ กับบุคลากรทางการแพทย์และแม่ ครอบครัวและประชาชนทั่วไป เพียงแต่การให้ข้อมูลของบริษัทฯ จะต้องเป็นข้อความเดียวกับข้อความที่ปรากฎในฉลากที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับคณะกรรมการอาหารและยาเท่านั้น รวมถึงไม่สามารถกล่าวอ้างสรรพคุณทางโภชนาการและสุขภาพ
นอกจากนี้การหากบริษัทฯ จะให้ข้อมูลกับบุคลากรทางการแพทย์ที่จำเป็นต้องกล่าวอ้างสรรพคุณของผลิตภัณฑ์จะต้องมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ
- พ.ร.บ.มีผลกระทบทางเศรษฐกิจหรือไม่
พ.ร.บ. ฉบับนี้ไม่กระทบต่อการพัฒนาองค์ความรู้ของประเทศ ไม่มีเนื้อหาใดจำกัดสิทธิการทำวิจัยและการศึกษาของบุคลากรทางการแพทย์ ที่สำคัญไม่ขัดกับหลักเศรษฐกิจและการค้าเสรี เนื่องจากประเทศไทยไม่ใช่ประเทศแรกที่นำหลักการของ WHO มาออกเป็นกฎหมาย มีมากกว่า 70 ประเทศทั่วโลกที่ได้ผลักดัน CODE เป็นกฎหมายสำเร็จ และไม่มีประเทศใดถูกฟ้องร้องว่ากฎหมายฉบับนี้ละเมิดหลักการค้าเสรี
นอกจากนี้ จากบทนำ องค์การการค้าโลก (World Trade Organization) กล่าวว่า การค้าควรมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคน และการค้าเสรีไม่ควรเป็นเป้าหมายในตัวของมันเอง
หลักปฏิบัติสำคัญขององค์การการค้าโลก ได้แก่
- Most favored nation – จะต้องปฏิบัติต่อสินค้านำเข้าจากทุกประเทศสมาชิกอย่างเท่าเทียมกัน
- National treatment – จะต้องปฏิบัติต่อสินค้าที่นำเข้าและสินค้าจากประเทศของตนอย่างเท่าเทียมกัน
- Health exception– ประเทศสมาชิกมีสิทธิอันชอบทำในการกำหนดข้อบังคับเพื่อคุ้มครองสุขภาพของประชาชน รัฐสามารถกำหนดระดับความเหมาะสมของข้อบังคับโดยมีพื้นฐานจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ มาตรฐานสากล แนวทางปฏิบัติ และคำแนะนำต่างๆเพื่อบรรลุเป้าหมายทางสุขภาพ
เมื่อพิจารณาถึงหลักปฏิบัติที่กล่าวมานี้ จะเห็นได้ว่าการควบคุมการส่งเสริมการตลาดของอาหารทารกและเด็กเล็ก สามารถทำได้โดยไม่ขัดต่อหลักการค้าเสรีของ WTO เพราะมาตรการต่างๆในหลักเกณฑ์สากลฯ มีผลต่อผลิตภัณฑ์จากทุกประเทศทุกบริษัทอย่างเท่าเทียมกัน ไม่มีการปฏิบัติต่อสินค้านำเข้าและสินค้าในประเทศอย่างแตกต่างกัน
- พ.ร.บ.มีผลกระทบต่อการทำงานของบุคลากรสาธารณสุขหรือไม่
ร่างพระราชบัญญัตินี้ไม่ได้ส่งผลกระทบแง่ลบแก่บุคลากรสาธารณสุขแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับช่วยป้องกันบุคลากรสาธารณสุขให้ปราศจากการมีผลประโยชน์ทับซ้อนและการเป็นสื่อบุคคลให้กับภาคธุรกิจด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ดังนี้
- บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขสามารถได้รับข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิต ผู้นำเข้า และผู้จำหน่ายอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กได้ โดยต้องเป็นข้อมูลที่เป็นจริงและมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ เพื่อสร้างความมั่นใจว่า บุคลากรจะมีข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อประกอบการตัดสินใจและให้คำแนะนำแม่และครอบครัวเพื่อเลือกใช้อาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กในกรณีที่จำเป็น
- ร่างพระราชบัญญัติห้ามผู้ผลิต ผู้นำเข้า และผู้จำหน่ายให้ของขวัญ หรือสิ่งจูงใจแก่บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข เพื่อป้องกันการสร้างสายสัมพันธ์และการสร้างอำนาจต่อรองแก่บุคลากร เพื่อให้ตอบแทนโดยการเป็นสื่อบุคคลให้กับผลิตภัณฑ์อาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก ทั้งนี้เพราะบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขเป็นบุคคลที่ได้รับความไว้วางใจและความเชื่อถือจากแม่และครอบครัว ดังนั้นจึงควรวางตัวให้เหมาะสมและให้คำแนะนำแม่และครอบครัวบนพื้นฐานของข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นจริงปราศจากผลประโยชน์ทับซ้อน
ร่างพระราชบัญญัติอนุญาตให้ผู้ผลิต ผู้นำเข้าและผู้จำหน่าย ที่ประสงค์จะมอบอุปกรณ์และสิ่งของให้แก่หน่วยบริการสาธารณสุขสามารถกระทำได้โดยต้องอุปกรณ์และสิ่งของนั้นต้องไม่มีชื่อ ตรา และสัญลักษณ์ที่เชื่อมโยงถึงผลิตภัณฑ์ ทั้งนี้เพื่อป้องกันการส่งเสริมการตลาดแฝงและการจดจำชื่อ ตราสัญลักษณ์ของแม่และครอบครัวเมื่อมารับบริการ ซึ่งผู้ผลิต ผู้นำเข้าและผู้จำหน่ายที่มีความประสงค์จะทำประโยชน์เพื่อสังคมโดยไม่หวังผลทางการค้าจะไม่ถูกขัดขวางโดยร่างพระราชบัญญัตินี้
- การมี พ.ร.บ.จะช่วยให้แม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่มากขึ้นหรือไม่
กลยุทธ์ที่จะช่วยสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่นั้น ประกอบด้วย 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ ส่งเสริม สนับสนุน และปกป้อง ปัจจุบันประเทศไทยมีการส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ผ่านการรณรงค์ การให้ความรู้กับแม่และครอบครัว สนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ได้แก่ สนับสนุนการลาคลอด สนับสนุนมุมนมแม่ในสถานประกอบการ แต่ประเทศไทยยังขาดกลยุทธ์ในการปกป้องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ซึ่งการมีพ.ร.บ.เป็นกลยุทธ์การปกป้องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ที่ดีที่สุด ดังนั้นเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการช่วยให้แม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ทั้ง 3 กลยุทธ์นี้จะต้องขับเคลื่อนไปพร้อมๆกัน
จากรูปด้านล่างเป็นการเปรียบเทียบอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือน และ GDP per Capita และ Code status โดยจะสรุปได้ว่า เศรษฐสถานะกับอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือน มีความผกผันกันกล่าวคือประเทศที่ยิ่งมีเศรษฐสถานะไม่ดี ยิ่งมีอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนสูง แต่การมีกฎหมายหรือมาตรการควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กที่เข้มข้น (full provision and many provision law) จะช่วยทำให้ผลของเศรษฐสถานะต่ออัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ลดลง (slope ของลดลง) ดังนั้น การมีกฎหมายหรือมาตรการจะช่วยทำให้การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ดีขึ้นในประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่มีรายได้ระดับปานกลาง
- พ.ร.บ.นี้มีความซ้ำซ้อนกับกฎหมายหรือประกาศของคณะกรรมการอาหารและยาหรือไม่
พ.ร.บ.นี้ไม่มีความซ้ำซ้อนหรือขัดแย้งกับกฎหมาย หรือประกาศของคณะกรรมการอาหารและยา เนื่องจากว่า พ.ร.บ.นี้จะควบคุมในเรื่องของ “การส่งเสริมการตลาดของผลิตภัณฑ์” ไม่ใช่ “คุณลักษณะ คุณภาพของผลิตภัณฑ์”
นอกจากนี้ พ.ร.บ.นี้ไม่ได้ควบคุมฉลากของผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะเป็นไปตามข้อกำหนดตามประกาศของคณะกรรมการอาหารและยา