และแล้วน้องพรีมก็ได้มาเป็นน้องสาวพี่พช
ส, 03/14/2009 – 10:27 โดย petchka
เมื่อฉันจะมีลูกสาว
หลังจากที่พชเกิดมา
ฉันให้ความรักกับลูกคนนี้อย่างเปี่ยมล้น
อาจมีบางครั้งที่ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมพฤติกรรมบางอย่าง ของลูก
ฉันไม่ชอบเลย
เขาชอบเถียง ชอบว่าแม่อย่างฉัน
บางครั้งฉันก็แอบร้องไห้อยู่เหมือนกัน
ว่าทำไมลูกถึงไม่ค่อยรักฉัน
แต่แท้จริงแล้ว ฉันไม่เข้าใจความรู้สึกของลูกต่างหาก
ลูกรักแม่อย่างฉัน จะดีจะร้ายยังไง
ลูกก็ยังรักฉันอยู่เสมอ
หลังจากพชเข้าเรียนอนุบาล จนจะเข้าชั้นอนุบาล 3 แล้ว
ฉันกับสามีก็คิดว่าจะมีอีกคน
ไว้เป็นเพื่อนลูกชาย
จริงๆแล้วให้ฉันไว้มีพวกมากกว่า
เพราะลูกเข้าข้างพ่อเสมอ ไม่ค่อยเข้าข้างแม่เท่าไรนัก
ไม่หรอกน่า
แท้จริงแล้ว อยากได้ลูกสาวอีกคนมากกว่า
พอรู้ว่ามีอีกคน
ในใจลึกๆ ดีใจมากนะ
ถึงแม้ว่าคนในบ้านบางคนจะไม่ยินดีด้วยก็ตาม
ฉันอาจจะคิดมากไปเอง
(พอคลอดลูกคนนี้แล้ว ถึงได้รู้ว่าคิดมากไปเอง เพราะพวกเขาเป็นประเภท รักนะแต่ไม่แสดงออก)
ท้องนี้แย่หน่อยตรงที่ ไม่ค่อยมีความสุขเท่าไรนัก
ความรักที่ให้กันมันไม่ค่อยสมบูรณ์
การดูแลเอาใจใส่กันและกัน ไม่สมบูรณ์
จิตใจฉันตอนนี้หดหู่มาก ถึงมากที่สุด
แต่ก็พยายามบอกกับลูกในท้องทุกวันว่า
อย่าเครียดตามแม่นะลูก
ให้แม่เครียดคนเดียวก็พอ
ท้องนี้เจอเรื่องร้ายๆ มาเยอะ
จากทั้งคนรอบข้างบางคน สามีตัวเอง ครอบครัว
มันทำร้ายฉันทั้งหมด
แต่ฉันก็อดทน อดทน เสมอ
เพราะฉันยังมีกำลังใจทีดี
“ม๊า “ เป็นกำลังใจที่ดีที่สุดของฉัน
“อาโกว” เป็นอีกหนึ่งกำลังใจที่ดีที่สุดเหมือนกัน
“พช” ความรักของหนู ที่มีต่อแม่ ทำให้แม่มีกำลังใจเหมือนกัน ถึงแม้ว่าช่วงเวลานั้นทำให้เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน
แม่รู้ว่าหนูโหยหาแม่ คิดถึงแม่
จนบางครั้ง ทำให้หนูพาลไม่รักน้อง
จะคอยดุน้องเสมอ เวลาที่น้องดิ้นแรง
เลยทำให้แม่รู้สึกไม่สบายใจเลย
กลัวหนูไม่รักน้อง
ทั้งๆ ที่แม่พร่ำบอกเสมอว่า
แม่ก็คิดถึงหนู ไม่แพ้กัน
แม่คิดถึงหนูเสมอ คิดถึงทุกเวลา ทุกลมหายใจ
จนบางครั้งแม่เคยกลัวว่า น้องที่อยู่ในท้องจะน้อยใจ
แต่แม่ก็บอกกับน้องว่า แม่ก็รักหนูเหมือนกันนะ
แต่หนูอยู่ในท้องแม่ตลอดเวลา ไม่ต้องกลัวนะจ๊ะ
สามีของฉัน ทำร้ายจิตใจของฉันจนบอบช้ำที่สุด
จนเขาได้รับกรรมของเขาเอง หนักที่สุดในชีวิต
จนเกือบทำให้ฉันเป็นม่าย
แต่ผลกรรมครั้งนี้ทำให้ฉันรู้สึกดี
มันทำให้เหมือนเขาตาสว่าง
ว่าสิ่งที่เขาทำมันเลวร้ายแค่ไหน
หลังจากวันนั้นเขาก็เปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น
ดีขึ้นเรื่อยๆ
ท้องนี้เราสองคนแม่ลูก ที่อยู่ในท้อง อยู่กันลำพัง 2 คน ตลอดเวลา
มีอะไรก็คุยให้เค้าฟัง
เพราะฉันอยู่กับลูกคนนี้ 2 คนจริงๆ
ไม่ได้อยู่กับครอบครัวเลย
จนถึงวันที่ฉันคลอด
วันที่ฉันคลอดเป็นวันที่หมอนัดตรวจ
แต่มีน้ำเดิน ประมาณ ตี 2
ตอนแรกฉันไม่รู้หรอกว่ามันคือน้ำเดิน
เพราะท้องแรกไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเลย
ฉันคิดว่าน้ำเดิน มันต้องเป็นสีแดง
น้ำเดินประมาณ ตี 2
ฉันพยายามอั้นไว้
แต่ มันอั้นไม่อยู่
ฉันนอนไม่หลับ จนถึงตี 5
ในใจก็คิดว่า ลูกจ๋า หนูจะออกมาหาแม่หรือเปล่า
เลยลงมาเข้าห้องน้ำ ว่าจะเตรียมตัวไปโรงพยาบาลก่อน
ลงมา ว่าจะถามอาโกว แต่เห็นหลับอยู่เลยไม่กล้าปลุก
โทรหาสามีแทน
“เต้ย เพชรเป็นไรไม่รู้ เหมือนอั้นฉี่ไม่อยู่”
“เจ็บท้องมั้ย “
“ไม่เจ็บนะ”
“วันนี้หมอนัดไม่ใช่เหรอ แต่งตัวไปหาหมอเลยก็ได้นะ”
“อื้อ”
อาโกว ตื่นมาได้ยินฉันคุยกับสามี ฉันเลยถาม
“โกว น้ำเดินมันสีอะไรอ่ะ”
“ปกติก็สีขาวนะ ทำไมเหรอ”
“เพชรเป็นไรไม่รู้ เหมือนอั้นฉี่ไม่อยู่”
“นั่นแหละ เรียกน้ำเดิน ปวดท้องมั้ย”
“ไม่ปวดเลย ไม่รู้สึกอะไรเลย”
“รีบแต่งตัวไปหาหมอก่อนเลย ไม่ต้องรอเวลานัด ไปคนเดียวได้มั้ย เดี๋ยวโกวทำธุระให้อาม่าเสร็จจะตามไป”
“ได้หนูไปได้”
จากนั้นฉันก็แต่งตัว เตรียมของใช้ส่วนตัว เผื่อว่าต้องพักที่โรงพยาบาลเลย
เดินไปหารถแท็กซี่
แต่วันนั้นไม่มีแท็กซี่เลย
ฉันเลยต้องเดินไปหน้าปากซอยเรียกรถ
ไปถึงโรงพยาบาล เล่าอาการให้นางพยาบาลฟัง
นางพยาบาลบอก
“นั่งรอตรงนี้เลยค่ะ “
“เรียกรถเข็นมาด่วนเลย มีคนไข้รายหนึ่งจะคลอด”
เอ๊ะ เอ๊ะ ฉันจะคลอดแล้วเหรอเนี่ย
แต่ทำไมไม่เจ็บท้องเลยล่ะ
สักพักมีบุรุษพยาบาลเอารถเข็นมารับฉัน
พาไปห้องโน้นห้องนี้
และเจ้าหน้าที่ทุกคนจะถามอาการ
และบุรุษพยาบาลที่พาฉัน
เขาถามฉันว่า
“ญาติอยู่ไหน”
“ดิฉันมาคนเดียวค่ะ”
“ห๊า….. มาคนเดียวเหรอครับ แล้วของใช้ส่วนตัวจะทำยังไงดี เค้าไม่ค่อยรับฝากนะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่มีของสำคัญอะไร อีกอย่าง สักพักป้าจะตามมาค่ะ”
เขาก็ยังคงทำสงสัยว่าทำไมฉันมาคนเดียว
เหมือนประมาณว่า สามีไปไหน
จากนั้นพาไปห้องคลอด
เจ้าหน้าที่ที่ห้องคลอด ต้องซักประวัติก่อน
แต่น่าอายมาก เพราะน้ำเดินมันยังไหลอยู่ เลอะเก้าอี้หมดเลย
ฉันก็ขอโทษเจ้าหน้าที่
เค้าก็ว่า “ไม่เป็นไรหรอก”
จากนั้นก็เข้าห้องเตรียมคลอด
ต้องอาบน้ำ เปลี่ยนชุด
ฉันโทรบอกสามี
“เพชรจะเข้าห้องคลอดแล้วนะ จะปิดมือถือแล้ว ถ้ามาถึงแล้วให้มาที่ห้องคลอด ชั้น 5 นะ”
“โอย..ใจเย็นสิ เพชรเอ๊ย เต้ยยังไม่ออกจากบ้านเลย “
“เพชรน่ะใจเย็นอยู่แล้ว แต่ลูกเราน่ะใจร้อนต่างหาก”
“เตรียมของด้วยใช่มั้ย จะเตรียมไปให้นะ”
“อื้อ แค่นี้ก่อนนะ และฝากบอกอุ๊ด้วยว่าวันนี้ เพชรคลอดแล้วนะ”
“ห้ามลืมบอกวิชหรืออุ๊นะ”
จากนั้นก็เก็บของใช้ที่ถือมาไว้ ซ่อนไว้ใต้ตู้อย่างมิดชิด
ตอนนั้นจำไม่ได้ว่ากี่โมงแล้ว
ถ้าเดาก็……น่าจะประมาณ 7 โมงกว่าแล้วนะ
วันนั้นในห้องมีแม่ๆ เตรียมคลอดอยู่ไม่กี่คน
แต่นักศึกษาพยาบาล มากันเยอะ
น้องเค้าเข้ามาถาม
“แม่เจ็บท้องแล้วเหรอ”
“ยังค่ะ มีแต่น้ำเดินค่ะ”
“ไม่เจ็บท้อง หรือปวดเลยเหรอค่ะ”
“ค่ะ ไม่เจ็บเลย”
น้องพาฉันขึ้นเตียงเพื่อรอคลอด
นางพยาบาล เอาเครื่องฟังเสียงหัวใจของลูกมาคาดไว้ที่ท้อง
เหมือนตอนที่คลอด พชเลย
แต่หนนี้ไม่ค่อยตื่นเต้นมากนัก
แต่ดีใจมากกว่า ฉันจะได้เจอลูกแล้วนะ
น้องๆก็จะเวียนเข้ามาถามอาการ
เหมือนว่าฉันเป็นอาจารย์
รู้สึกดีจัง ที่ตัวเองได้เป็นประโยชน์ให้น้องเค้าได้เรียนรู้
และฉันก็ได้เรียนรู้ไปกับน้องๆ ด้วย
เช่น จะวัดอัตราการเต้นหัวใจของลูก
วัดการบีบรัดของมดลูก (อันนี้ฉันเพิ่งรู้)
ปากมดลูกเปิดกี่เซ็นฯแล้ว
อาการทั่วไป เริ่มเจ็บท้องหรือยัง
จับชีพจร จะคอยถามตลอดว่าเริ่มเจ็บหรือยัง
ดูน้องที่เค้ามาดูแลฉันก็ค่อนข้างเครียดเหมือนกันนะ
เหมือนกับว่าการทดสอบวันนี้เป็นตัวชี้วัดในการเรียนจบของเค้าเลยมั้ง
ฉันก็ชวนน้องเค้าคุย จะได้ไม่เครียดจนเกินไป
น้องน่ารักมาก ดูแลฉันตลอดจะคอยถามว่า
“แม่ เริ่มเจ็บท้องหรือยังคะ”
“แม่ หนาวหรือเปล่า”
“แม่ ปวดตรงไหนมั้ย”
“แม่ อยากเข้าห้องน้ำหรือเปล่า” ฯลฯ
สักประมาณ 9โมง
อาโกวเข้ามาที่ห้อง แป๊ปนึง
ปกติเขาไม่ให้ใครเข้ามา เป็นกรณีพิเศษ( เหมือนตอนที่คลอดเจ้าพช เขาก็ไม่ให้คุยโทรศัพท์)
ก็ถามอาการและฝากของส่วนตัวของฉันกลับไปด้วย
และเวลานั้นแห่งความเจ็บปวดก็เริ่มต้นแล้ว
ฉันเริ่มเจ็บท้อง ประมาณ 10 โมง
และก็เริ่มเจ็บขึ้นเรื่อยๆๆๆๆๆๆ
จากทุกๆ ครึ่งชั่วโมง มาเป็น 10 นาที
และเจ็บทุกๆ 10 นาทีจริงๆ
น้องเค้าก็ช่วยฉัน ช่วยนวดหลังให้(ดีจัง)
หลังจากนั้นฉันมองไปที่นาฬิกา ตอนนั้น อีก 10 นาทีเที่ยง
“จะเที่ยงแล้วเหรอ” ฉันคิด
น้องบอกฉันว่า
“แม่ แม่จะคลอดน้องได้ ประมาณ เที่ยงกว่านะคะ”
“แม่จะได้เจอหนูแล้วนะลูก”
แล้วน้องก็บอกอีกว่า
“แม่ อย่าร้องนะคะ เก็บแรงไว้ตอนเบ่งนะ”
“แม่ อดทนไว้นะคะ” ฯลฯ
สักพัก ฉันทนไม่ไหว
บอกน้องว่า ไม่ไหวแล้วค่ะ ลูกจะออกแล้ว
นางพยาบาลก็เลยรีบมามุงที่เตียงฉันกันหมด
รวมทั้งน้องๆ นักศึกษาพยาบาล ทั้งหมด
ท้องนี้นางพยาบาลเป็นคนทำคลอดให้ ไม่ใช่หมอ
ตอนแรกก็แปลกใจเหมือนกันนะ
แต่เค้าทำดีกว่าหมอบางคนอีก
น้องๆให้กำลังใจ เชียร์ฉัน กันน่าดู
“อึบ อึบ เอ้าแม่เบ่งค่ะ อึ๊บ อึ๊บ”
“เอ้าแม่หายใจลึกๆ ผ่อนหายใจยาวๆนะ”
เอ้า อึบ อึบ………………………….. แว๊ แว๊ๆๆๆๆๆๆ
ได้ยินเสียงลูกแล้ว
เสียงช่างแตกต่างกันจริงๆ
เด็กผู้หญิงกับเด็กผู้ชายเนี่ย
เห็นหน้าแล้ว ฉันยิ้มเลย
จนน้องๆ แซว
“ยิ้มใหญ่เลย นะแม่”
ลูกสาวคนนี้ผมดกมาก ตัวแตงๆ(สงสัยกินมะละกอเยอะ)
รอบนี้ไม่มีสลบเลย
เขาให้ลูกมาวางที่อกฉันเลย
ให้ฉันอุ้มทั้งๆที่ยังมีน้ำคร่ำ เลือดอยู่
ให้ดูดนมจากอกฉันทันที
ลูกเข้าหานะ แต่ไม่ดูด
เหมือนว่า มันคืออะไรน่ะ
แต่สักพักก็ดูด จุ๊บจุ๊บ
น่ารักมากเลยล่ะ
อยู่ด้วยกันสักพัก พยาบาล ก็มาเอาไปทำความสะอาดร่างกาย
และเขาก็มาจัดการกับฉันต่อ
รอบนี้ฉีดยาชาอย่างเดียว และทำแผลสดๆด้วย อึ๋ยส์!!!! เจ็บมากๆเลย
แต่ฉันไม่ยอมนอนพักเลย
อยากเจอแต่หน้าลูกอย่างเดียว
พอจัดการเรียบร้อยแล้ว พาฉันไปทานข้าว
ฉันทานจนเกลี้ยงทุกอย่าง
จนพยาบาลถามว่าเอาอีกมั้ย
ฉันได้แต่ตอบว่า
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
555+++
ลูกสาว คลอดเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2550 เวลา 12.28 นาที
น้ำหนักแรกเกิด 3350 กรัม มากกว่าน้องพช 20 กรัม
แหะๆ ท้องนี้ลูกสาวกินเก่งนัก
(เนี่ยยังไม่ได้เล่าถึงตอนที่ มีน้ำตาลในเลือดสูงเลย ไว้เล่าตอนหลังละกัน)
ชื่อลูกสาวยังไม่ได้ตั้งให้เพราะไม่ได้เตรียมตัวเลย
(หลังจากนั้นประมาณ วันที่ 2 หลังคลอด ได้ชื่อ เบญจมาภรณ์ ย่าตั้งให้ ชื่อเล่นน้องพลอย
แบบว่า ย่าชอบเรื่องสี่แผ่นดิน คุณพลอย ๆ แต่ก็ได้เปลี่ยนชื่ออีกครั้งหลักจากกลับมาบ้าน
เนื่องจากชื่อไม่ค่อยดีเท่าไร เป็น กุลยาภร แปลว่า ผู้ค้ำจุลวงศ์ตระกูล
ชื่อเล่น คือ น้องพรีม ก็แปลกดีนะ และก็น่ารักด้วย ไม่ค่อยเหมือนใคร)
หลังจากทานข้าวเสร็จสักประมาณ 20 นาที นางพยาบาลอุ้มลูกมาให้ฉันกอดประคองไว้
และเข็นฉันซึ่งนั่งอยู่ในรถเข็นออกมาจากห้องคลอด
เจอสามีนั่งรออยู่
ประโยคแรกที่ทัก
“อ้าว…..ได้อุ้มลูกเลยเหรอ ไหนๆขอดูหน้าลูกหน่อยสิ”
เข้ามาดู และหอมแก้มลูกสาว
วันนั้นตอนเย็น มาเยี่ยมกันทั้งบ้านเลย
พ่อสามียอมทิ้งบ้านไว้กับช่าง เพื่อมาดูหน้าหลานสาว
น้องพชก็ดีใจมากเห็นหน้าฉันก็เข้ามากอดเลย
เพราะเราไม่ได้เห็นหน้ากันมาหลายวันแล้ว
และขอดูน้อง มองหน้าน้องแล้วยิ้มไปยิ้มมา
บอกกับฉันว่า
.“แม่ น้องน่ารักจังเลย”
“แม่ ให้น้องชื่ออะไรดี”
“แม่ แม่เจ็บมั้ย”
“แม่ น้องร้องป่าว ตอนออกมาจากท้องแม่น่ะ”
และอีกสารพัดคำถาม ที่พรั่งพรูมาจากปากของเด็กน้อยวัย 6 ขวบ
จนมาถึงคำถามนี้ ที่ฉันนึกถึงทีไร อดยิ้มไม่ได้ทุกที
“แม่ พชขออุ้มน้องกลับบ้านก่อนได้มั้ย”
“และแม่ก็นอนพักที่นี่ไปก่อน แม่นอนคนเดียวได้นะ”
5555+++
จากที่ฉันเคยกังวลว่า พอน้องออกมาแล้ว พี่จะไม่รักน้อง
จะไม่หาน้อง กลายเป็นจะหาแต่น้องมากกว่าแม่ซะอีก
ณ วันนี้ น้องพรีม 1 ขวบแล้ว
พัฒนาการทั้งร่างกายและจิตใจ ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ
น้องพรีมก็เป็นเด็กมหัศจรรย์คนหนึ่งเหมือนกันนะ
ใครเห็นก็รักเหมือนกัน
ตอนนี้ลูกทั้ง 2 คน ของฉัน กำลังเติบโตตามวัยของเค้า
และแม่อย่างฉัน
คอยเฝ้ามอง โอบกอด อุ้ม ให้ความรัก เสมอ ไม่เคยเบื่อ
สุดท้ายอยากบอกว่า
“พช พรีม แม่รักหนูทั้งสองมากเลยนะ”