แม่อาสา

ลูกผมเกือบแย่เพราะนมวัว

10 กันยายน 2017
แชร์ให้เพื่อน

ลูกผมเกือบแย่เพราะนมวัว

[seed_social]
[seed_social]

โดยคุณพ่อ… ดร.อนุชิต อนุชิตานุกูล จาก หนังสือ REAL PARENTING

ปีที่แล้ว ในเวลากลางคืนที่ลูกหลับซึ่งควรจะเป็นเวลาผ่อนคลายของพ่อและแม่โดยทั่วไป แต่สำหรับผมแล้วมันช่างเป็นช่วงเวลาแห่งความหวาดหวั่นและตึงเครียด ผมหลับตาลงในขณะที่โสตประสาทยังตื่นพร้อม หูคอยจับเสียงลมหายใจของลูกทุกวินาที ผมบอกตัวเองว่าจะไม่มีวันประมาท แล้วตื่นมาพบว่าลูกได้ปราศจากลมหายใจแล้วอย่างเด็ดขาด

ย้อนกลับไปเมื่อขวบปีแรก ลูกเริ่มแสดงอาการไม่ชอบมาพากลด้วยการคันตามร่างกายและเป็นผื่นแดง โดยเฉพาะเมื่อสัมผัสกับอากาศหรืออาหารที่ผิดสำแดง ขณะเล่นหรือทำกิจกรรมใดๆ เขาจะเกายุกยิกตลอดเวลา ตอนนั้นผมเองไม่ได้นึกเอะใจถึงความผิดปกติใดๆ คิดเพียงว่าเป็นเรื่องธรรมดาของเด็กเล็กที่เกิดผื่นแพ้ได้ง่ายและแก้ไขด้วยการพาไปพบแพทย์ ใช้วิธีทายาแก้แพ้ซึ่งมักมีส่วนผสมของสเตียรอยด์เพื่อลดอาการคันเห่อ โดยเฉพาะบริเวณข้อพับ แขนและขา ซึ่งมันเพิ่มความแสบรัอนทรมานเมื่อลูกลงเล็บเกาอย่างยั้งไม่อยู่จนเลือดออกซิบๆ ทุกคืนก่อนนอนผมจึงต้องช่วยลูกลูบๆ เกาๆ ไปทั่วร่างจนหลับกันไปข้างหนึ่ง นอกจากตามเนื้อตัวแล้ว อาการคันยังลามไปที่ตา ทำให้ตาอักเสบติดเชื้อจากการเกา กิจกรรมของเราสามคนพ่อแม่ลูกคือการเข้าออกโรงพยาบาล 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ และกิจวัตรประจำวันที่บ้านคือ การใช้กลยุทธ์ร้อยแปดจับเจ้าตัวเล็กกินยา ทายา หยอดตา โกลาหลกันไปหมด แม่ช่วยหลอกล่อ พ่ออธิบายจนคอเป็นเอ็น ลูกก็วิ่งร้องไห้น้ำตานองเพราะหมดความอดทนกับสิ่งที่ต้องเผชิญอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

ลูกต้องเลิกรับประทานอาหารทะเลทุกชนิด เขาแพ้ผงซักฟอก ฝุ่น แมลง ฯลฯ ท้ายสุดจากที่แพ้แค่ผิวหนัง ลามมาถึงส่วนสำคัญคือระบบหายใจ ทำให้หูและปอดติดเชื้อ เกิดการอักเสบ ต้องนอนโรงพยาบาลบ่อยๆ ผมปฏิวัติสภาพแวดล้อมภายในบ้านครั้งใหญ่ รื้อถอนทุกอย่างที่จะทำร้ายลูกจากการสูดเข้าไป รื้อพรมราคาแพงออกทั้งบ้าน เปลี่ยนเตียงนอนเป็นแบบโปร่ง มีใต้เตียงยกสูงจากพื้น ที่นอนห่อหุ้มมิดชิดด้วยผ้ากันไรฝุ่นอย่างดี สั่งซื้อเครื่องฟอกอากาศคุณภาพสูงจากยุโรปมาใช้ในบ้าน ห้องนอนและโรงเรียนอนุบาลของลูกตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับทุกอาการที่เกิดแก่ลูก ระมัดระวังอย่างที่สุดก่อนที่จะกระทำการรักษาทั้งแบบแพทย์แผนปัจจุบันและแพทย์ทางเลือก ลูกเคยลิ้มลองทั้งยาไทย ยาจีน รวมถึงการฝังเข็ม และหลังจากเราได้ปรับสิ่งแวดล้อมใหม่ทั้งหมด ควบคุมอาหาร คุณภาพอากาศและอุณหภูมิ ก็พบว่าสามารถแก้อาการผื่นแพ้ตามลำตัวและตาของเขาได้

อย่างไรก็ดี อาการน่าหนักใจที่สุดซึ่งยังไม่พบทางแก้ไขและดูจะเพิ่มความรุนแรงขึ้น คือการกรนอย่างหนักและหายใจลำบากยากเย็นในตอนกลางคืน ในช่วงแรกๆ การช่วยจับให้ลูกปรับเปลี่ยนท่านอนช่วยบรรเทาได้บ้าง แต่นานไปก็เริ่มไม่ได้ผล และอาการนี้ขยายอาณาเขตไปถึงเวลาที่ลูกนอนกลางวันที่โรงเรียนด้วย หมอเอกซเรย์พบว่า ต่อมทอนซิลซึ่งอยู่ในลำคอและต่อมอะดีนอยด์ของลูกบวมโตจากการอักเสบบ่อยๆ จึงเป็นสาเหตุของการหายใจลำบาก ทุกคืนผมนอนหลับตาขณะที่โสตประสาทตื่นพร้อม คอยจับเสียงลมหายใจของลูกซึ่งนอนอยู่อีกฟากของห้องทุกวินาที แม้จะห่างจากตัวเขาพอสมควร แต่เสียงลมหายใจหนักๆ ของเขาดังราวกับอยู่ชิดติดข้างหูของผมเมื่อเสียงกรนเปลี่ยนเป็นเสียงหายใจหนักและถี่ขึ้น กระทั่งกลายเป็นเสียง เฮือก!…(ขาดอากาศเนื่องจากทางเดินหายใจถูกอุดตันจากลิ้นตกลงไปอุดช่องทางที่แคบอยู่แล้ว) เสียงนั้นวิ่งเข้าทิ่มลงที่หัวใจของผมจนเจ็บจี๊ดและเต้นรัว ต้องกลั้นหายใจ นับวินาทีที่ลมหายใจของลูกขาดหาย หนึ่ง สอง สาม…ภาวนาและรอคอยอย่างใจจดจ่อให้ประสาทอัตโนมัติปลุกให้ลูกรู้สึกตัว หรือไม่ก็รีบจับเขาเปลี่ยนท่าเพื่อให้หายใจสะดวกต่อไป เป็นอย่างนี้วนเวียนทั้งคืน และแน่นอนไม่ใช่แค่คืนเดียวลูกดูทรุดโทรมไปมาก

ผมเองก็เช่นกัน ความวิตกกังวลที่กินเวลานาน 2-3 ปี ผนวกกับเวลาในการพักผ่อนที่น้อยเต็มที ส่งผลให้โรงพยาบาลกลายเป็นที่รักษาลูกและพ่อไปพร้อมๆกัน ผมเองมีความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นเร็ว ระดับน้ำตาลผิดปกติ ร่างกายอ่อนเพลียจนพาลทำให้หน้ามืด บ่อยครั้งอยากหลับตาอยู่นิ่งๆให้นาน…นานกว่าเดิมสักนิดก็ยังดี บางครั้งผมต้องพยายามตัดกังวลยอมดับเครื่องตัวเองบนเตียงบ้าง ด้วยความกลัวว่าถ้าผมหักโหมร่างกายจนเครื่องดับสนิทไปคนหนึ่ง ชีวิตของลูกคนนี้จะเป็นอย่างไร

จุดวิกฤติมาถึงแล้ว ผมต้องตัดสินใจว่าจะยอมผ่าตัดเอาต่อมทอนซิลและต่อมอะดีนอยด์ซึ่งบวมจนกีดขวางทางเดินหายใจของลูกออกไปหรือไม่ หรือจะยอมทำอิมมูโนเทอราปีซึ่งต้องฉีดยาบ่อยเหลือเกิน และไม่คิดว่าลูกจะรับได้ ไม่ว่าทางไหนก็ล้วนแต่ทรมานทั้งสิ้น

ท้ายสุดผมได้เลือกว่าจะไม่ยอมทำทั้งสองอย่าง ขณะถึงจุดวิกฤติที่จะชี้ชะตาชีวิตลูกนั้น ผมได้พบกับอาจารย์หมอจรุงจิตร งามไพบูลย์ ท่านคือผู้ไขปริศนาทั้งมวลหลังจากฟังปัญหาของเราแล้ว ท่านซักอาการของลูกสองสามข้อ เสร็จสรรพก็ฟันธงว่า ลูกชายผม…แพ้นมวัว!

ที่ลูกแพ้สะเปะสะปะไปเสียหมดนั้น มันเริ่มเรื่องมาจากการแพ้โปรตีนในนมวัวที่เขาได้รับมาตั้งแต่อยู่ในท้องแม่เนื่องจากแม่พยายามดื่มนมอย่างมากเพื่อบำรุงครรภ์ และลูกดื่มอย่างต่อเนื่องมาตลอดตั้งแต่เกิด โปรตีนนมวัวเข้าไปในร่างกาย กระตุ้นให้สร้างภูมิคุ้มกันชนิดหนึ่งสูงผิดปกติซึ่งไวต่อสารก่อภูมิแพ้ชนิดอื่นๆ ตามมา เช่น ฝุ่น ไรฝุ่น ละอองเกสร ขนหมาแมว ซึ่งเป็นสิ่งตามธรรมชาติรอบๆตัวลูก ทำให้ร่างกายเกิดปฏิกิริยาต่อต้านเหมือนกับว่าสิ่งนั้นเป็นแบคทีเรียหรือไวรัส ลูกจึงมีอาการเจ็บป่วยตลอดเวลา

หนึ่งปีผ่านไปหลังจากที่ลูกหยุดนมวัว เจ้าต่อมซึ่งกีดขวางทางเดินหายใจของลูกหายบวม อาการทรมานทุกๆ อย่างสงบลง อาการกรนและหอบในตอนกลางคืนอันตรธานไปพร้อมกับความทุกข์อย่างแสนสาหัสของคนเป็นพ่อแม่ เมื่อรากแก้วถูกตัดออก ปัญหาอันแตกเป็นกิ่งก้านสาขาก็ดูจะฝ่อไปด้วย อะไรๆ ดูจะควบคุมง่ายไปเสียหมด

ผมพยายามให้ลูกทำความเข้าใจกับอาการที่ลูกเป็น รู้จักควบคุมดูแลตัวเอง ลูกรู้ดีว่าเหตุใดผมถึงห้ามดื่มนมวัว ทานอาหารหรือขนมที่มีนมวัวเป็นส่วนผสม ทั้งนี้เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงของเขาเองซึ่งลูกก็ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ผมปรารถนาว่าลูกจะสามารถประคองสุขภาพของตนเพื่อใช้ชีวิตต่อไปในอนาคตได้อย่างปกติสุขที่สุด

Admin
มูลนิธิศูนย์นมแม่
บทความที่เกี่ยวข้อง
พ่ออาสาแบ่งปันประสบการณ์
นมแม่จะพอหรือ รู้ได้อย่างไร
ช่วยด้วยค่ะ เด็ก 2 เดือนถูกจับนั่งกระโถน